ฝูงนกพิราบ ปัญหาที่ข่วงประตูท่าแพได้วนกลับมาอีกแล้ว จากการที่นักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมา และนิยมไปถ่ายภาพกับฝูงนกพิราบ ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าแอบนำอาหารนกมาขาย พร้อมอาชีพใหม่รับถ่ายภาพให้นักท่องเที่ยว วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องมาควบคุมหรือสุ่มตรวจเชื้อโรคว่ามีพาหะนำโรคร้ายมาหรือไม่ เพราะในมูลนกพิราบ มีเชื้อราที่เรียกว่า ‘Cryptococcus neoformans’ เชื้อคริปโตคอคคัส โดยเชื้อดังกล่าว เป็นที่มาของการเกิดโรคต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดโรคร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยสามารถติดเชื้อได้ผ่านการสัมผัสมูลสัตว์ หรือการหายใจ และสูดดมละอองเชื้อราของฝูงนกพิราบดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย

ฝูงนกพิราบ ยึดข่วงประตูท่าแพ

ระทึก “ฝูงนกพิราบ” ยึดข่วงประตูท่าแพ ชาวเชียงใหม่หวั่นเป็นพาหะนำเชื้อโรคกลับมาระบาด หลังพ่อค้า-แม่ค้าหัวใส แอบนำอาหารนกมาขาย พร้อมถ่ายภาพให้นักท่องเที่ยวจีนที่นิยมถ่ายภาพคู่กับนกพิราบ วอนให้เจ้าหน้าที่เทศบาลควบคุมปริมาณของนก เพราะที่ผ่านมาเคยมีการติดป้ายห้ามจำหน่ายและให้อาหารนก

เมื่อวันที่ 6 ก.ค. 66 ที่ จ.เชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาฝูงนกพิราบที่ข่วงประตูท่าแพได้วนกลับมาอีกแล้ว หลังพบว่ามีนกเพิ่มจำนวนมาก จากการที่นักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมา และนิยมไปถ่ายภาพกับนกพิราบ ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าแอบนำอาหารนกมาขาย พร้อมอาชีพใหม่รับถ่ายภาพให้นักท่องเที่ยว ส่งผลให้นกพิราบเพิ่มจำนวน

ทำให้หลายคนห่วงเรื่องปัญหาการแพร่เชื้อโรค พบทั้งขี้นกและซากนกที่เสียชีวิตทุกวัน โดยปัญหาฝูงนกพิราบจำนวนนับหมื่นตัวที่ข่วงประตูท่าแพกลางเมืองเชียงใหม่ เริ่มกลับมามีปัญหาอีกครั้ง หลังจากที่สถานการณ์โควิดดีขึ้น มีการเปิดประเทศ การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว และส่งผลให้นักท่องเที่ยวกลับมา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่กลับมาท่องเที่ยวที่เชียงใหม่เป็นชาติหลักที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นต่อเนื่อง และที่ข่วงประตูท่าแพซึ่งถือเป็นแลนด์มาร์กอีกแห่ง ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวและถ่ายภาพกับฝูงนกพิราบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตรงจุดนี้ฝูงนกพิราบกลับเพิ่มจำนวนมากขึ้นตามปริมาณนักท่องเที่ยวที่เข้ามา เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมที่จะมาถ่ายภาพคู่กับฝูงนกพิราบ ที่ข่วงประตูท่าแพ ซึ่งมีวิวกำแพงเมืองและประตูเมืองที่สวยงาม และเพื่อถ่ายภาพคู่กับฝูงนกพิราบจำนวนมาก หรือถ่ายภาพขณะที่นกพิราบมาเกาะตามตัวหรือตอนให้อาหารก็ยิ่งกลายเป็นภาพที่สวยงาม และก็กลายเป็นอีกจุดหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาถ่ายภาพคู่กับนกพิราบ จนเกิดอาชีพที่ตามมาคือพ่อค้าแม่ค้ามาขายอาหารนกเพื่อล่อฝูงนกพิราบจำนวนมากมาที่ข่วงประตูท่าแพ และอีกอาชีพที่เกิดใหม่คู่กันคืออาชีพบริการถ่ายภาพคู่กับนกพิราบ โดยจะเริ่มจากการขายอาหารล่อฝูงนกพิราบให้กับนักท่องเที่ยว ถุงละ 20 บาท แล้วจะบริการถ่ายภาพให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งจากมือถือหรือกล้องถ่ายภาพให้กับนักท่องเที่ยว ค่าบริการตามที่นักท่องเที่ยวจะให้

โดยเฉพาะภาพตอนที่ฝูงนกพิราบเข้ามาในภาพ กลุ่มคนเหล่านี้จะทำงานกันเป็นทีม คนหนึ่งจะให้อาหารล่อนก อีกคนจะเตรียมกล้อง และจัดองค์ประกอบให้นักท่องเที่ยวในภาพ เมื่อฝูงนกพิราบมากินอาหารจำนวนมากที่โปรยให้ตามพื้น คนที่ให้อาหารก็จะส่งเสียง หรือปาข้าวของให้ฝูงนกพิราบตกใจแตกตื่นบินผ่านกล้องเข้ามาในภาพ ก็จะได้ภาพที่สวยงามแปลกตา ทั้งวิวของประตูท่าแพและนกพิราบ จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว แต่สิ่งที่ตามมาคือความสกปรกของพื้นที่ ทั้งมาจากเศษอาหารนก ถุงพลาสติกที่บรรจุอาหารนก มูลของนกตามพื้น ตามต้นไม้ ที่นั่ง หรือแม้แต่บนกำแพงเมือง และยังพบว่าทุกวันจะมีนกป่วยและเสียชีวิต ทั้งจากโรคภัยและอุบัติเหตุที่ถูกรถชน รถทับเสียชีวิตทุกวัน ทำให้ตอนนี้ชาวเชียงใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มเป็นห่วงเรื่องของฝูงนกพิราบที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูฝนกำลังต่อเนื่องเข้าฤดูหนาว ก็หวั่นว่านกพิราบอาจจะเป็นพาหะนำเชื้อโรคหลายอย่างมาแพร่ระบาด โดยเฉพาะโรคไข้หวัดนกที่มักจะระบาดในช่วงนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า แม้จะเข้าใจว่าเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยว และก็อยากให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาควบคุมปริมาณของฝูงนกพิราบที่เพิ่มขึ้น หรือสุ่มตรวจเชื้อโรคว่ามีพาหะนำโรคร้ายมาหรือไม่ และอยากให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่มีการนำอาหารมาขายและเรียกฝูงนกพิราบมา ซึ่งหากมีแหล่งอาหารนกก็มักจะมาอยู่รวมกัน อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเทศบาลนครเชียงใหม่เข้ามาดูแลจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังด้วย ที่ผ่านมาเคยมีการติดป้ายห้ามจำหน่ายและให้อาหารนก และมีการจับกุมคนที่มาลักลอบขายอาหารนก แต่ตอนหลังจับแล้วก็ปล่อย แต่ก็กลับมาขายอีกเนื่องจากรายได้ดี และช่วงหลังก็เลิกจับ เห็นกลับมาขายกันอย่างเปิดเผยอีก

พาหะนำโรคจากนกพิราบ

นกพิราบพาหะนำโรคร้าย เพราะในมูลนกพิราบ มีเชื้อราที่เรียกว่าเชื้อคริปโตคอคคัส โดยเชื้อดังกล่าวเป็นที่มาของการเกิดโรคต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดโรคร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยสามารถติดเชื้อได้ผ่าน ‘การสัมผัส’ มูลสัตว์ หรือ ‘การหายใจ’ และสูดดมละอองเชื้อราดังกล่าวเข้าสู่ร่างกาย

  • โรคคริปโตคอกโคสิส (Cryptococcosis) 

โรคสมองอักเสบจากเชื้อราคริปโตคอคคัส เป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ง่ายและพบในมูลนกพิราบ ส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น คนที่ได้รับยากดภูมิ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาแต่กำเนิด ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากกว่าคนปกติถึง 1,000 เท่า

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ปกติแล้วโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้จากเชื้อโรค เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเราที่มาจากที่อยู่อาศัย สภาวะแวดล้อมไม่สะอาดนัก หรือมาจากพยาธิที่มากับอาหารที่ไม่สะอาด กึ่งสุกกึ่งดิบ

ข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลโรคติดเชื้อและพาหะนำโรค พบว่าเชื้อ Cryptococcus neoformans จากมูลนกพิราบ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ สูงถึงร้อยละ 9.09 ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้!

  • โรคปอดอักเสบ

หากหายใจและสูดดมเอาเชื้อราชนิดนี้เข้าไปในปอด ก็อาจทำให้ปอดอักเสบได้ โดยเริ่มจากอาการปอดติดเชื้อก่อน แล้วอาจค่อยๆ ลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย นอกจากนี้ ในนกพิราบยังมีแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “คลามัยเดีย” ที่ทำให้เกิดอาการปอดบวมได้อีกด้วย

ฝูงนกพิราบ

สังเกตอาการเสี่ยงติดเชื้อ

หากสูดดมเข้าไปในร่างกายจะทำให้ติดเชื้อที่ปอด ทั้งยังสามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น สมอง ได้อีกด้วย ซึ่งจะมีอาการไข้ ไอเป็นเลือด เจ็บหน้าอก มีปัญหาทางการมองเห็น มึนงง หากมีการติดเชื้อที่สมองจะมีอาการสับสน และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป และอาจไม่ใช่เฉพาะมีอาการปอดอักเสบ แต่เชื้ออาจลามไปทำลายสมองของเราได้อีกด้วย

วิธีป้องกันจากความเสี่ยงติดเชื้อรา

กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้มากกว่าคนปกติ ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น คนที่ได้รับยากดภูมิ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอมาแต่กำเนิด สำหรับคนที่มีภูมิคุ้มกันปกติก็สามารถติดเชื้อได้เช่นกัน โดยควรป้องกันตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อราจากมูลนกพิราบ โดยมีวิธีป้องกันดังนี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสนก การเข้าไปอยู่ในฝูงนกพิราบ หากต้องเข้าใกล้ ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรค
  • คนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ควรเข้าไปใกล้นกพิราบ เพราะอาจได้รับเชื้อในมูลเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ
  • ไล่นกพิราบไปไกลๆ ไม่ให้มาอาศัยอยู่ภายในบริเวณบ้าน
  • ทำความสะอาดอาคารเก่า หรือบริเวณที่พบนกเคยอยู่อาศัย และล้างมือหลังจากทำความสะอาดทุกครั้ง
  • ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันเชื้อโรคได้
  • ไม่ให้อาหารนกพิราบ เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน

เชื้อโรคจากนกพิราบติดต่อสู่คน

เชื้อโรคจากขี้นกพิราบ หรือไรฝุ่นจากตัวนกพิราบ สามารถติดต่อมาสู่คนได้จากการสัมผัสมูลนก หรือการสูดดมเอาสปอร์ของเชื้อเข้าไปมากๆ ก็จะไปสะสมเติบโตในร่างกาย หากเป็นคนที่สุขภาพปกติมักพบที่บริเวณปอด ทำให้เกิดอาการปอดอักเสบ แต่หากเป็นผู้ป่วยซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำ เชื้อราจะเติบโตและอาจกระจายไปตามกระแสเลือด แพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น สมอง ได้ อันเป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  • คนที่สัมผัสมูลนกพิราบ หรือมีความใกล้ชิดกับนกพิราบ เช่น ฝูงนกชอบมาหากินอยู่แถว ๆ บ้าน พนักงานทำความสะอาดที่ต้องเก็บกวาดมูลนกพิราบ ผู้ที่เลี้ยงนกพิราบ หรือชอบให้อาหารนกพิราบ เป็นต้น
  • บุคคลที่อยู่ในบริเวณที่มีนกพิราบบินผ่าน หรือมาถ่ายทิ้งไว้ เช่น คอนโดที่นกพิราบชอบมาอาศัยตรงระเบียง เป็นต้น
  • เด็กเล็ก
  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ป่วยโรคหอบหืด ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ป่วยโรคเอดส์ ผู้ที่ติดเชื้อ HIV เป็นต้น
หากร่างกายได้รับเชื้อราและเชื้อโรคจากนกพิราบนานวันเข้า เชื้อราจะค่อยๆ เจริญเติบโตในร่างกายอย่างช้าๆ ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเป็นพักๆ วิงเวียน หน้ามืด ปวดขมับ ปวดเบ้าตา ไอ มีเสมหะปนเลือด มีไข้ต่ำ น้ำหนักลด โดยอาจมีอาการหลอดลมอักเสบได้ด้วย หรือบางรายอาจถึงขั้นอาเจียน แต่ในบางคนอาจไม่มีอาการแสดงออก อาการป่วยมักจะแสดงออกเมื่อร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น
ส่วนมากเชื้อราจากนกพิราบจะก่อโรคอย่างช้าๆ จนแทบไม่รู้สึกตัวว่าติดเชื้อมา รู้ตัวอีกทีก็อาจมีอาการทรุดหนักเพราะเชื้อราแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ แล้ว ซึ่งควรได้รับการรักษาตามอาการและได้รับยาฆ่าเชื้อรา รวมทั้งเชื้อแบคทีเรียตามอาการของผู้ป่วยไป อย่างไรก็ตาม โดยส่วนมากแล้วหากไม่ได้คลุกคลีกับนกพิราบมากนัก ไม่ได้สูดดมเอาละอองสกปรกจากนกพิราบเข้าปอดมากๆ ไม่ได้สัมผัสมูลนกพิราบ โอกาสเสี่ยงติดเชื้อจนก่อให้เกิดอันตรายก็จะลดน้อยลงไปด้วย ดังนั้นการป้องกันตัวเองให้ห่างไกลเชื้อโรคจากฝูงนกพิราบก็เป็นสิ่งที่ควรทำ