สำหรับ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเทศไทย ยังคงเป็นประเทศ ที่เนื้อหอมอย่างมาก

เนื่องด้วยในขณะนี้ ประเทศไทย ต่างมีประเทศยักษ์ใหญ่ ในอุสาหกรรมรถยน อย่างประเทศเยอรมนี และจีน ต่างพากันดาหน้าเข้ามา ตั้งโรงงานผลิต เพื่อให้ไทยนั้นได้ เป็นศูนย์กลาง ของการผลิตรถ EV ในแถบของเอเชีย และภูมิภาคอาเซียน และล่าสุด ‘ฟอร์ด มอเตอร์’ ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ สัญชาติอเมริกา ก็ได้ออกมาประกาศ อย่างเป็นทางการว่า

จะใช้ประเทศไทยนั้น เป็นศูนย์กลาง การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า EV เพื่อทำการส่งออก ไปขายทั่วโลก ประธานเจ้าหน้าที่ ฝ่ายการเงินของ FORD ทั่วโลก นายจอห์น ลอว์เลอร์ ได้ให้สำภาษณ์กับสำนักข่าว ในงานแสดงรถยนต์ ดีทรอยต์ เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ว่า ประเทศไทยที่เป็นสถาน ที่ผลิตระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ Everest และ Ranger ute ในตอนนี้ ในอนาคตจะกลายเป็น “ศูนย์กลาง” สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า EV

“ไทยจะเป็นศูนย์กลาง การผลิตรถยนต์ ที่ไม่สร้างมลพิษ และเมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้มาถึง คุณจะเห็นเราจะเป็นส่วนหนึ่ง ของอุตสาหกรรม และจะได้เห็นนวัตกรรม ของฟอร์ด”

FORD

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อของ Ford Everest ยังสามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้

เนื่องจากมันขึ้นอยู่กับรากฐานเดียวกันกับ Ford Ranger และผลิตในโรงงานเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงที่สุดของฟอร์ดยังคงไม่ระบุรายละเอียดในการประมาณการว่า Ranger ute จะอยู่ในโชว์รูมได้เมื่อใด แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยัน เรื่องการเริ่มต้นการผลิต แต่ Ford Ranger ute คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญ ในแผนการลงทุนของยักษ์ใหญ่ ด้านยานยนต์ของสหรัฐฯ

สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ซึ่งคิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณการขายทั่วโลกภายในปี 2030 ทั้งนี้ Ford ได้เปิดตัวและจำหน่ายรถกระบะฟูลไซส์ F-150 Lightning ไปแล้วในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นรถกระบะไฟฟ้ารุ่นแรกของ Ford สำหรับโรงงานของ Ford ในประเทศไทยมี 2 แห่ง ตั้งอยู่ที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง

ได้แก่โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอร์ริ่ง ซึ่งเป็นโรงงานของ Ford เอง และโรงงานออโต้ อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย เกิดจากการร่วมทุนของ Ford และ Mazda ทั้งนี้ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานความคืบหน้าการส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน

ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 17 ส.ค.65 มีโครงการที่ได้รับส่งเสริมในกิจการดังกล่าวแล้วรวม 26 โครงการ จาก 17 บริษัท ประกอบด้วย

1. โครงการผลิต Hybrid Electric Vehicle (HEV) จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ GWM, Honda, Mazda, MG, Mitsubishi, Nissan, Toyota

2. โครงการผลิต Plug-in Hybrid Electric Vehicle (PHEV) จำนวน 8 โครงการ ได้แก่ BMW, BYD, GWM, Mercedes Benz, Mazda, MG, Mitsubishi, Toyota

3. โครงการผลิต Battery Electric Vehicle (BEV) จำนวน 15 โครงการ ได้แก่ BYD,FOMM,GWM,Honda,Horizon,Mazda,MercedesBenz,MG,MineMobility (2 โครงการ), Mitsubishi,NissanSkywell,Takano,Toyota

4. โครงการผลิตรถบัสไฟฟ้า (E-bus) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ Absolute Assembly และสกุลฎ์ซี มีมูลค่าการลงทุนรวม 80,208.6 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) กำลังการผลิตจำนวน 838,775 คัน แยกเป็น HEV 38,623.9 ล้านบาท 440,955 คัน, PHEV 11,665.6 ล้านบาท 137,600 คัน, BEV 27,745.2 ล้านบาท 256,220 คัน และ Battery Electric Bus 2,173.8 ล้านบาท 4,000 คัน

โดยบริษัทที่เริ่มการผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์แล้ว ได้แก่ Absolute Assembly, BMW, FOMM, GWM, Honda, Mercedes Benz, MG, Mitsubishi, Nissan, Takano, Toyota และยังมีอีกหลายโครงการที่มีแผนที่จะผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ

นอกจากนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าหลายโครงการมีแผนจะดึงซัพพลายเออร์จากต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมอีกในอนาคตอันใกล้ โดยบีโอไอรายงานว่าในปัจจุบันมีการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าแล้ว 35 โครงการ จาก 26 บริษัท มูลค่ารวม 15,410.2 ล้านบาท ระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่ และอุปกรณ์สำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้า เป็นต้น

ขอบคุณ แหล่งที่มา : facebook Reporter Journey

สามารถอัพเดต ข่าวสารเรื่องราวต่างๆ ได้ที่ : codecraftersinc.com